ลุ่มน้ำบางปะกงมีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์เพราะที่เป็นหัวเมืองหน้าศึกฝ่ายตะวันออกของรัฐไทยมานานกว่า 500 ปี ตลอดจนมีทางออกสู่ทะเล พื้นที่บริเวณนี้จึงเป็นที่รวมของผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ ทั้งคนไตดั้งเดิมที่สืบสานมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรขอมโบราณ คนที่หนีภัยสงครามเข้ามาในแต่ละยุคสมัย คนจีนที่เข้ามากับสำเภา ทำให้เกิดพหุวัฒนธรรมที่ถ่ายทอดเป็นประเพณีต่างๆ ผสมผสานลงตัวเป็นวัฒนธรรมของ “คนบางปะกง”

บริเวณปากอ่าวไทยที่สมัยก่อนปฏิรูปการปกครอง เรียกว่า มณฑลปราจีนบุรี ประกอบด้วยเมืองปราจีนบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา และชลบุรี โดยมีเมืองฉะเชิงเทราเป็นศูนย์กลางการบริหารงานของมณฑล พื้นที่แห่งนี้มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะเป็นหัวเมืองหน้าศึกฝ่ายตะวันออก เมื่อกรุงศรีอยุธยาเกิดเหตุวุ่นวายครั้งใด เขมรก็จะถือโอกาสรุกราน และกวาดต้อนผู้คนในบริเวณหัวเมืองแถบนี้กลับไป และก็เช่นเดียวกัน ในยามที่อยุธยามีความเข้มแข็งก็เดินทัพไปปราบเขมรโดยใช้เส้นทางนี้
ในบรรดาชื่อเมือง (จังหวัด) ในมณฑลปราจีนบุรีที่แปลกหูที่สุดต้องยกให้ “ฉะเชิงเทรา” ซึ่งเพี้ยนมาจากคำเขมรว่า “ฉทึงเทรา” แปลว่า แม่น้ำลึก หรือคลองลึก (ฉทึง-แม่น้ำหรือคลอง เทรา-ลึก) แต่คนส่วนใหญ่ชอบเรียกว่าเมืองแปดริ้ว นักวิชาการสันนิษฐานว่าการเรียกชื่อเป็นคำเขมรน่าจะเป็นเหตุผลทางภูมิศาสตร์ เพราะเมืองฉะเชิงเทราตั้งอยู่สองฝั่งแม่น้ำบางปะกง เมื่อครั้งที่ขอมยังมีอำนาจปกครองบริเวณนี้ คนโบราณก็เรียกแม่น้ำบางปะกงว่า ฉทึงเทรา ซึ่งหมายถึงคลองลึกหรือคลองใหญ่ ตามลักษณะที่มองเห็น

ด้วยความที่เป็นหัวเมืองหน้าศึกฝ่ายตะวันออกของรัฐไทยมานานกว่า 500 ปี ตลอดจนมีทางออกสู่ทะเล พื้นที่ในลุ่มน้ำบางปะกงจึงเป็นที่รวมของผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ ทั้งคนไตดั้งเดิมที่สืบสายสมัยอาณาจักรขอมโบราณ คนที่หนีภัยสงครามเข้ามาในแต่ละยุคสมัย ทำให้เกิดลักษณะพหุวัฒนธรรมที่ถ่ายทอดเป็นประเพณีต่างๆ ผสมผสานกันลงตัวเป็นวัฒนธรรมของ “คนบางปะกง”
วัฒนธรรมในโลกนี้แทบทุกเรื่องมีต้นกำเนิดจากการอยู่การกิน การปลูกข้าวก็ทำให้เกิดวัฒนธรรมแตกแขนงมากมาย พื้นที่ในลุ่มน้ำบางปะกงเป็นที่ราบลุ่มอุดมสมบูรณ์จึงเป็นแหล่งผลิตข้าวมาเนิ่นนาน เฉพาะจังหวัดฉะเชิงเทราเองเป็นแหล่งผลิตข้าวและค้าขายข้าวที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน (ทุกวันนี้ ฉะเชิงเทราเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกข้าวกว่า 342,780 ไร่ หรือร้อยละ 10.62 ของพื้นที่ทั้งหมด และเป็น 1 ใน 8 จังหวัดที่มีโครงการชลประทานเจ้าพระยาใหญ่-สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรฉะเชิงเทรา, 2565) และการค้าขายข้าวก็กลายเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจสำคัญของรัฐไทยแต่โบราณ

กรุงศรีอยุธยาซึ่งตั้งอยู่บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ด้านเหนือคือแม่น้ำลพบุรี ด้านตะวันตกและใต้เป็นแม่เจ้าพระยา ด้านตะวันออกเป็นแม่น้ำป่าสัก โลเคชั่นเกรดเอนี้ทำให้อยุธยาสามารถค้าขายกับหัวเมืองในภาคกลางและภาคเหนือได้ รวมทั้งพ่อค้าต่างชาติที่เข้ามาทางอ่าวไทยโดยเลาะเลียบเข้ามาทางแม่น้ำบางปะกง เส้นทางดังกล่าวนำชาวจีนโพ้นทะเลที่เข้ามาแต่ละยุค “รวมเลือดเนื้อ” เป็นส่วนหนึ่งของคน “ชาติเชื้อบางปะกง” ในทุกวันนี้
คนจีนโยกย้ายไปถิ่นฐานไหนก็นำความเชื่อเดิมและแนวทางการใช้ชีวิตตามหลักขงจื้อติดตัวไปด้วย ชุมชนชาวจีนส่วนใหญ่จึงมีอัตลักษณ์ที่สะท้อนความเชื่อดังกล่าว อย่างเช่นชุมชนตลาดบ้านใหม่ในอำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นชุมชนคนจีนดั้งเดิมที่ลงหลักปักฐานมานานกว่าร้อยปีแล้ว และความเข้มแข็งของคนจีนที่นี่ทำให้พื้นที่ที่ผ่านการปรับตัวเป็นชุมชนเมืองเต็มตัวแล้ว ยังสามารถคงอดีตหลายอย่างที่งดงามไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมอาคารบ้านเรือนให้คงสภาพย้อนยุค การคงรสอาหารแบบเก่าๆ อัธยาศัยที่เอื้อเฟื้อ จนกลายเป็น “ตลาดบ้านใหม่ร้อยปี” แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของฉะเชิงเทรา

ถ้าอยากลิ้มรสอาหารจีนแบบคลีนๆ ก็ต้องมาช่วงเดือน 9 (ตามปฏิทินจีน) เป็นช่วงเวลาที่คนเชื้อสายจีนฉะเชิงเทรา (ซึ่งส่วนใหญ่มาจากทางใต้) จะมีประเพณีถือศีลละเว้นกินเนื้อสัตว์และสิ่งที่มีชีวิต และมีพิธีบูชากิ้วหองไต่เต่ (เทพแห่งดาวนพเคราะห์ 9 องค์) เทศกาลดังกล่าวเป็นแหล่งรวมคนเชื้อสายจีนเก่าแก่ที่ยังเก๋าเรื่องข้าวปลาอาหารแบบจีนตอนใต้

…วัฒนธรรมอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการปลูกข้าวที่เห็นชัดเจนคือ ประเพณีข้าวหลาม
ดั้งเดิมเลยประเพณีเกี่ยวกับข้าวหลามนี้เป็นของคนลาวเวียงที่มาจากจากเวียงจันในสมัยรัชกาลที่ 3 ชุมชนใหญ่ของคนลาวเวียงอยู่ในอำเภอพนมสารคาม คนลาวเวียงเรียกประเพณีนี้ว่า “บุญข้าวหลาม” โดยจะมีพิธีในเดือน 3 (ธันวาคมหรือมกราคม) เพราะเป็นฤดูการเก็บเกี่ยวข้าว ชาวบ้านจึงนำข้าวใหม่ที่มีกลิ่นหอมมากมาทำเป็นอาหาร โดยนำมาเผาในไผ่สีสุกเป็นข้าวหลามเพื่อถวายพระภิกษุ

เนิ่นนานต่อมา นอกจากถวายข้าวหลามแล้วก็เอาประเพณีไทยโบราณเข้ามาผสม คือการปิดทองรอยพระพุทธบาทจำลองที่วัดเขาดงยาง (วัดสุวรรณคีรี) ซึ่งอยู่ในอำเภอพนมสารคามเหมือนกัน สมัยก่อนใช้การเดินเท้า ไม่ได้นั่งรถ เวลาเดินไปวัดก็จะผ่านบ้านหัวสำโรง อ.แปลงยาว (สำโรงเป็นคำเขมร หมายถึงต้นสำโรง) ซึ่งเป็นบ้านคนเชื้อสายเขมร คนบ้านสำโรงก็ขอรับบุญข้าวหลามมาเป็นประเพณีของตนด้วยเพราะปลูกข้าวเหนียวเหมือนกัน แต่ต่อยอดเพิ่มเป็น “ขึ้นเขาเผาข้าวหลาม” ตรงตัวกับการเดินขึ้นเขา
กิจกรรมเผาข้าวหลามเป็นอะไรที่สนุกมาก ไม้ไผ่เผาไฟอ่อน ๆ ผสมกับกลิ่นหอมของข้าวใหม่ เสมือนการปลุกอดีตที่งดงามให้ปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง
อ้างอิง:
- ชื่อฉะเชิงเทรา จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_40457
- การค้าข้าวในฉะเชิงเทรา จาก https://farmkaset.org/html5/contents.aspx?con_id=333
- บุญข้าวหลาม จากเพจบ้านจอมยุทธ https://www.baanjomyut.com/76province/east/chacherngsao/costom.html
บทความโดย : อยู่ดี กินดี
#คนบางปะกง #คนฉะเชิงเทรา #บางปะกงพหุวัฒนธรรม #ตลาดบ้านใหม่ร้อยปี #บุญข้าวหลาม #อยู่ดีกินดี #พายเรือทวนน้ำ #กำเหนิดบางบ็องกอง