วันหนึ่งในปี พ.ศ. 2409 (ช่วงกลางสมัยรัชกาลที่ 5) ณ ท่าเรือเมืองวิศาขาปัฏฏนัม รัฐอานธรประเทศ ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย เซอร์ ริชาร์ด โอเวน (20 ก.ค. 2347 – 18 ธ.ค. 2435) นักชีววิทยาและนักบรรพชีวินวิทยาชาวอังกฤษ มองเห็นโลมาชนิดหนึ่งมาป้วนเปี้ยนบริเวณท่าเรือ หน้าตาไม่เหมือนโลมาในทะเลลึก โลมาที่เขาเห็นมีหัวทุย ๆ ปากทู่ ๆ ไม่มีจงอย แถมครีบหลังก็อันกะจิ๊ดเดียว เขาบันทึกสิ่งที่พบ และนั่นเป็นครั้งแรกที่ “โลมาอิรวดี” ถูกเขียนไว้ในสารบบสิ่งมีชีวิต โดยที่ยังไม่ได้มีชื่อดังว่า
แม้เซอร์โอเวนจะเป็นผู้บันทึกการพบโลมาชนิดนี้คนแรก แต่ตอนนั้นเขาก็ยังไม่มีความรู้เรื่องโลมาชนิดนี้ท่าไหร่ จนกระทั่งมีการพบในลักษณะกลุ่มประชากรครั้งแรกที่แม่น้ำอิรวดี แม่น้ำสายใหญ่ที่สุดซึ่งเป็นเส้นทางการค้าสำคัญที่สุดของประเทศเมียนมา จึงมีผู้ตั้งชื่อว่า “โลมาอิรวดี” ตามแหล่งที่พบ ไม่มีบันทึกระบุว่าพบปีอะไร แต่การเริ่มศึกษาโลมาอิรวดีอย่างจริงในแหล่งน้ำดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อปี 2545 นี่เอง โดยพบว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดนี้กระจายตัวในเขตแม่น้ำและทะเลในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณที่พบโลมาอิรวดีชุกชุมที่สุด คือทะเลสาบจิลิกา รัฐโอฑิศา ทางตะวันออกของอินเดีย และทะเลสาบสงขลา ทางภาคใต้ของไทย
สองโลเคชั่นนี้ดูเหมือนไม่ใกล้กันเลย แล้วน้องเค้าเข้ามายังไง? มาตั้งแต่เมื่อไหร่?
โลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลา
ราตรี สุขสุวรรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทย บอกว่า แต่เดิมโลมาอิรวดีอยู่ในทะเล แพร่กระจายอยู่ฝั่งอ่าวไทย แต่มีฝูงหนึ่งเข้ามาอยู่ในทะเลสาบสงขลาเป็นระยะเวลากว่า 100 ปีมาแล้ว กลายเป็นโลมาในน้ำจืด อาศัยบริเวณทะเลสาบสงขลาตอนบน ซึ่งช่วงฤดูฝนน้ำค่อนข้างจืดสนิท และช่วงน้ำทะเลหนุนมีความเค็มไม่มาก นับเป็นแหล่งโลมาน้ำจืด 1 ใน 5 แห่งของทั่วโลก ได้แก่ อินเดีย อินโดนีเซีย เมียนมา กัมพูชา และไทยตอนล่าง (สถานีวิทยุมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่, 5 พฤษภาคม 2565)
นอกจากทะเลสาบสงขลา ยังมีโลมาอิรวดีบางกลุ่มเข้ามาอาศัยอยู่ในแม่น้ำสายใหญ่ ๆ หรือแหล่งน้ำที่มีความลึก เช่น แม่น้ำโขง โตนเลสาบ หรือทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัดของกัมพูชา (กำปงธม กำปงชนัง โพธิสัตว์ พระตะบอง และเสียมราฐ)


โลมาอิรวดีในปากแม่น้ำบางปะกง
โลมาอิรวดี (Irrawaddy dolphin, Ayeyarwaddy dolphin ชื่อวิทยาศาสตร์: Orcaella brevirostris) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำเค็มและน้ำจืด ใช้ชีวิตอยู่ทั่วไปตามแนวชายฝั่งทะเล จากเอเชียใต้จรดตะวันออกเฉียงใต้ มีชื่อท้องถิ่นแตกต่างกัน บ้านเราเรียกตามลักษณะหัวที่กลม ๆ (เขาว่าคล้ายบาตรพระ) ว่า “โลมาหัวบาตร” คนใต้เรียก “โลมาหัวหมอน” มีลำตัวสีเทาเข้ม ตาขนาดเล็ก ปากอยู่ด้านล่าง ครีบข้างลำตัวแผ่กว้างเป็นรูปสามเหลี่ยม ครีบบนมีขนาดเล็กมาก รูปทรงแบนและบางคล้ายเคียว ลำตัวยาวประมาณ 180–275 เซนติเมตร น้ำหนักตัวประมาณ 98-159 กิโลกรัม อายุขัยประมาณ 30-50 ปี
ในเมื่อทะเลสาบสงขลากับอ่าวไทยก็คือทะเลเดียวกัน ไม่แปลกเลยที่จะพบโลมาหัวบาตรบริเวณปากแม่น้ำบางปะกง
ทะเลและน้ำกร่อยในบริเวณปากแม่น้ำบางปะกงเป็นเขตรอยต่อเศรษฐกิจการประมงของคนชลบุรีและฉะเชิงเทรา ใต้น้ำลึกระดับ 3-10 เมตร เป็นถิ่นอาศัยของโลมาอิรวดี สัตว์ป่าคุ้มครองอันดับที่ 138 และสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ตามบัญชีประเภทที่ 1 ของไซเตส หรืออนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ชนิดพันธุ์สัตวป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES: Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora)
ต้นปีจนถึงฤดูร้อน บริเวณปากแม่น้ำบางปะกงเป็นช่วงที่คลื่นลมสงบ นักท่องเที่ยวมักจะมาลงเรือไปดูโลมาอิรวดี ซึ่งบริเวณนี้พบประมาณ 40-50 ตัว จากจำนวนทั้งหมด 120 ตัวที่พบในอ่าวไทยตอนใน ชาวประมงรุ่นใหญ่บางคนยังทำหน้าที่เป็น wrangler (ใช้เรียกมัคคุเทศก์ที่พาชมโลมา ที่ “รู้ทาง” เช่น ทางน้ำ ทางหากิน ทางหลบหลีกอันตราย เป็นต้น) พานักท่องเที่ยวชมโลมาอิรวดีในน่านน้ำแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 2545 จนถึงทุกวันนี้
เสียแต่ว่าทุกวันนี้ โลมาอิรวดีแถบนี้หาชมยากเข้าไปทุกที
ด้วยความยาวของลำตัวที่ไม่ถึง 3 เมตร กับการโผล่ขึ้นมาหายใจเหนือน้ำแค่ไม่กี่วินาที การตามหาโลมาอิรวดีก็ไม่ง่ายอยู่แล้ว wrangler ต้องอาศัยประสบการณ์เพื่อกะเวลาว่าตอนไหนที่ฝูงโลมาอิรวดีจะออกมากินอาหาร ซึ่งได้แก่พวกปลาดุกทะเล กุ้ง และสัตว์น้ำขนาดเล็ก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นช่วงเช้า 8 โมงถึง 11 โมง

ภัยคุกคาม
ทีมวิจัยจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ใช้เวลาถึง 5 ปี ในการเก็บรวบรวมข้อมูลโลมาอิรวดีในอ่าวไทยตอนใน จากการนับด้วยสายตาสามารถสรุปได้ว่ามีประมาณ 40-50 ตัว และไม่มีแนวโน้มของการเพิ่มจำนวน
การหาสาเหตุโลมาอิรวดีไม่เพิ่มจำนวนยังไม่แน่ชัด ชลาทิพ จันทร์ชมภู ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันออก บอกว่า มีเพียงร้อยละ 30 เท่านั้นที่พอจะหาสาเหตุการตายของโลมาอิราวดีแถบนี้ โดยอาศัยข้อมูลเทียบเคียงจากการพบซาก พบว่าครึ่งหนึ่งในจำนวนนี้ตายเพราะโรค เช่น มีพยาธิ ป่วยจนผอมกินอาหารไม่ได้ อีกส่วนหนึ่งมาจากการติดเครื่องมือประมงโดยบังเอิญ ส่วนอีกร้อยละ 70 ซากเน่าจนไม่สามารถหาสาเหตุได้ (ข่าวค่ำมิติใหม่ไทยพีบีเอส, 18 ธันวาคม 2565)
ทีมสำรวจยังทำการตรวจคุณภาพน้ำช่วงปากน้ำคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ พบปริมาณออกซิเจนในน้ำเพียง 2 มิลลิกรัมต่อลิตร จากค่ามาตรฐานที่สิ่งมีชีวิตจะอาศัยอยู่ได้ จำเป็นต้องมีมากกว่า 5 มิลลิกรัมต่อลิตร จึงสันนิษฐานว่าการที่โลมาอิรวดีไม่เพิ่มจำนวน น่าจะมาจากการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ รวมถึงปัญหามลพิษทางน้ำ จากขยะและน้ำเสีย ซึ่งเป็นภัยหลักที่คุกคามโลมาอิรวดี
สอดคล้องกับการประเมินของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ที่ระบุว่าบริเวณชายฝั่งตอนบน หรืออ่าวรูปตัว ก หรืออ่าวไทยตอนในที่ติดกับปากแม่น้ำบางกะปง มีโลมาอิราวดีเหลืออยู่ประมาณ 120 ตัว และภัยคุกคามถิ่นอาศัยของโลมาอิรวดีในปากแม่น้ำบางปะกง คือมลพิษในน้ำ ซึ่งทำให้โลมาอิรวดีอาจย้ายถิ่นอาศัย ชาวประมงในละแวกนั้นก็บอกว่า ไม่ใช่ว่าจะพบซากของโลมาอิรวดีกันบ่อย ๆ นาน ๆ จะเห็นทีหนึ่ง จึงไม่ใช่ว่าจำนวนโลมาอิรวดีลดจำนวนลงเพราะตาย แต่เพราะย้ายถิ่นมากว่า

การออกทะเลพาชมโลมาอิรวดีเคยเป็นงานที่มีอย่างต่อเนื่องในฤดูที่คลื่นลมสงบ แต่ทุกวันนี้การตามหาโลมายากขึ้น wrangler ก็ต้องปรับตัว บริการพานักท่องเที่ยวออกไปทำพิธีลอยอังคารบริเวณปากแม่น้ำ เป็นงานหนึ่งที่พอสร้างรายได้
ถ้าไม่เร่งแก้ปัญหามลพิษจากน้ำเสียอย่างจริงจัง และเรื่องขยะจากในเมืองที่ไหลมารวมตรงปากแม่น้ำบางปะกง เราจะสูญเสียโลมาอิรวดีซึ่งเป็นเสน่ห์ของอ่าวรูปตัว ก. ไปอย่างถาวร
TAGS #โลมาอิรวดี #โลมาหัวบาตร #โลมาหัวหมอน #อยู่ดีกินดี #วิถีริมแม่น้ำ #บางปะกง #หาอยู่หากิน #พายเรือทวนน้ำ
ที่มาข้อมูล:
- มูลนิธิสืบนาคะเสถียร https://www.seub.or.th/bloging/news/14-irrawaddy-dolphin/
- กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง https://www.dmcr.go.th/detailAll/13931/nws/16
- สถานีวิทยุมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ https://psub.psu.ac.th/?p=9432
- Irrawaddy Dolphin Conservation https://myanmar.wcs.org/Wildlife/Dolphin.aspx
- ข่าวค่ำมิติใหม่ไทยพีบีเอส https://www.youtube.com/watch?v=R6tvyWSNLNw
บทความโดย : อยู่ดี กินดี