ภาพเก่าเล่าเรื่อง: เมืองแมด

ค้นพบเรื่องราว "วัดเมืองแมด" อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา วัดเก่าแก่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ แหล่งค้นพบจารึกอักษรลาวโบราณ เชื่อมโยงประวัติศาสตร์ชุมชนลาวพวน
เมืองแมด

อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา มีวัดเก่าแก่ที่สร้างในยุคต้นรัตนโกสินทร์คือ วัดเมืองแมด

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระบุว่า วัดนี้สร้างในปี 2356 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 2 และเป็นสถานที่ค้นพบจารึกอักษรลาวโบราณ ที่แสดงถึงความเป็นชุมชนลาวพวนในอดีต

ชาวพวนดั้งเดิมเป็นกลุ่มคนที่มาจากที่ราบสูงบริเวณทุ่งไหหิน แขวงเชียงของ แล้วทยอยเคลื่อนย้ายมาตั้งหลักแหล่งใหม่ทางสองฝั่งแม่น้ำโขง รวมทั้งเวียงจันทน์

ในปี 2317 พระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงมีพระบัญชาให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก นำทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์ ในครั้งนั้นได้กวาดต้อนครอบครัวลาวจากเวียงจันทน์มาอยู่แถวนครนายก ปราจีนบุรี และชาวลาวพวนกลุ่มหนึ่งมาอยู่ที่ตำบลเมืองเก่า เนื่องจากมาจากเวียงจันทน์บางทีจึงเรียกว่าชาวลาวเวียง

ชาวพวนที่ถูกกวาดต้อนมาตั้งชื่อชุมชนที่ตั้งหลักแหล่งใหม่ตามชื่อเมืองเก่าที่เคยอยู่ว่า เมืองแมด ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกของแขวงเวียงจันทน์ เมื่อชุมชนเติบโตขึ้นก็สร้างวัดตามประเพณีของพุทธมามกะ

วัดเมืองแมด มีชื่อเดิมว่าวัดรังสีเมืองแมด หลักฐานที่จารึกหลังพระสังกัจจายที่ประดิษฐานในอุโบสถหลังเก่า ซึ่งเป็นอักษรธรรมอีสาน (อักษรลาวโบราณ) แปลโดยกรมศิลปากร ใจความว่าวัดสร้างเมื่อวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 3 ปี 2339 ซึ่งตรงกับรัชกาลที่ 1 ไม่ตรงกับสำนักงานพุทธศาสนาที่บอกว่าสร้างในปี 2356 ห่างกัน 17 ปี

ส่วนชื่อตำบลเมืองเก่า แต่ก่อนไม่ได้ชื่อนี้ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดฯ ให้บริเวณตำบลนี้เป็นเมืองพนมสารคาม โดยมีพระพนมสารนคริน เป็นเจ้าเมืองผู้ปกครอง ต่อมาในปี 2449 ย้ายตัวเมืองพนมสารคามไปอยู่ที่บ้านท่าลาด เพราะอยู่ในบริเวณคลองที่ขุดใหม่ (คลองท่าลาด) บริเวณเดิมจึงเรียกว่า “เมืองเก่า” ในความหมายเดียวกับชื่อวัดเมืองแมด เป็นการเชื่อมโยงความระลึกถึงแผ่นดินเกิดที่พลัดพรากมา

เมืองแมดสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ เมื่อครั้งยังเป็นพระเจ้าน้องเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ รับราชการในกระทรวงยุติธรรม เสด็จไปตรวจราชการในหัวเมืองภาคตะวันออก เมื่อเดือนเมษายน 2434 ทรงฉายพระรูปร่วมกับพระสงฆ์และกรมการเมืองพนมสารคามที่วัดเมืองแมด ต.เมืองเก่า อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา มีข้อความกำกับภาพว่า “วันที่ ๑๘ เมษายน ร.ศ.๑๑๐ ถ่ายเมื่อไปตรวจราชการพักที่วัดบ้านแมดเมืองพนมสารคาม” (ภาพจากสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)

บรรยายภาพ

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ เมื่อครั้งยังเป็นพระเจ้าน้องเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ รับราชการในกระทรวงยุติธรรม เสด็จไปตรวจราชการในหัวเมืองภาคตะวันออก เมื่อเดือนเมษายน 2434 ทรงฉายพระรูปร่วมกับพระสงฆ์และกรมการเมืองพนมสารคามที่วัดเมืองแมด ต.เมืองเก่า อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา มีข้อความกำกับภาพว่า “วันที่ ๑๘ เมษายน ร.ศ.๑๑๐ ถ่ายเมื่อไปตรวจราชการพักที่วัดบ้านแมดเมืองพนมสารคาม” (ภาพจากสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)

ที่มา สมุดภาพฉะเชิงเทรา

https://chachoengsao.go.th/photobook/?fbclid=IwAR0bvWCeeUXof6FXXK2-ZTUvk-HwFeQeVEy5voBEJLVqOdxJYendeeIp1Bg

TAG : #เมืองแมด #วัดเมืองแมด #ลาวพวน #ลาวเวียง #ภาพเก่าเล่าเรื่อง #อยู่ดีกินดี #วิถีริมแม่น้ำ #หาอยู่หากิน #พายเรือทวนน้ำ #อยู่ดีกินดีที่แม่น้ำบางปะกง #บางปะกง

Share:

“ผักบุ้งคั่วกะปิ” กับข้าวบ้าน ๆ ที่มีคุณค่าอาหารอย่างดี เส้นผักบุ้งเคี้ยวง่าย
ของว่าง หรือของกินแนมในสำรับอาหารที่ทำง่ายมาก ๆ แถมได้รสชาตินัวจากกะปิ มื้อนี้เชฟช้างขอเสนอ
ขนมไทย ตั้งแต่โบราณแล้วใช้น้ำตาลโตนดทั้งนั้น หรือขนมทุกอย่างสมัยนี้ที่ใช้กะทิ เข้ากับน้ำตาลโตนดทั้งนั้น หรือขนมที่หวานด้วยการโรยหน้าอย่างพวกนางเล็ด
ย้อนรอย ตำนานเพลงบางปะกง ที่ครูนคร มังคลายน แต่งขึ้นในปี

ส่งข้อความถึงเรา

Tags
ย้อนรอย ตำนานเพลงบางปะกง ที่ครูนคร มังคลายน แต่งขึ้นในปี 2497 เพื่อดึงดูดผู้ชม และกลายเป็น เพลงประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีเพ็ญศรี
โรงเจแห่งแรกในฉะเชิงเทรา สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2440 สมัยรัชกาลที่ 5 ตั้งอยู่ใน ตำบลเทพราช อำเภอบ้านโพธิ์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
วัดพิมพาวาสจะมีการประกอบพิธี “ตักบาตรน้ำผึ้ง”ทุกวันเพ็ญเดือนสิบ ประเพณีดั้งเดิมของชาวมอญที่ทั่วประเทศเหลือสืบทอดเพียงไม่กี่แห่ง
ผีแถน เทพเจ้าผู้ควบคุมฟ้าฝนของคนอีสาน มีความสำคัญในพิธีกรรมต่างๆ เช่น บุญบั้งไฟ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อขอฝนและความอุดมสมบูรณ์ในฤดูทำนา
งานบุญบั้งไฟฉะเชิงเทรา หรือ บั้งไฟท่าตะเกียบ จัดขึ้นที่ อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา เป็นงานประเพณีที่สืบทอดจากชาวอีสาน มีขบวนแห่ การแสดง และการจุดบั้งไฟที่น่าตื่นตาตื่นใจ
อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจลำดับสี่ของโลก รองจากข้าวสาลี ข้าวโพด และข้าว พืชตระกูลหญ้าที่ให้ความหวานนี้เข้ามาในประเทศไทยเมื่อ 400 ปีก่อน สันนิษฐานว่าพ่อค้าชาวอินเดียนำเข้ามา แม้ถิ่นกำเนิดของอ้อยจะอยู่ในหมู่เกาะแถบมหาสมุทรแปซิฟิก แต่เส้นทางการค้าเมื่อกว่าพันปีก่อนก็ทำให้อ้อยขยายไปทั่วเอเชีย